วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

การอ่านนวนิยายและเรื่องสั้น

นวนิยายเรื่องทวิภพ
ชื่อเรื่อง : ทวิภพ
ผู้เขียน : ทมยันตี
บทนำ
          ทวิภพ เทวิภพ เป็นบทประพันธ์แนวรักโรแมนติกกึ่งประวัติศาสตร์ของทมยันตี นักเขียนนวนิยายชื่อดังของประเทศไทย โดยนวนิยายเล่มนี้ถูกนำไปตีพิมพ์แล้วนับครั้งไม่ถ้วน เช่นเดียวกับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และละครเวทีนับหลายครั้ง ตีพิมพ์ลงในนิตยสารสกุลไทย ใช้เวลา 2 ปี ที่นำเสนอเรื่องราวของความรักต่างภพ ระหว่างอดีตและปัจจุบันมาบรรจบกัน โดยมีเรื่องของประวัติศาสตร์บ้านเมืองมาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้มีอรรถรส ในการอ่านให้ดูเข้มขึ้น บทประพันธ์ชิ้นนี้ คุณทมยันตี ได้ใส่รายละเอียดของความเป็นอยู่ของบุคคลในสมัยเก่าได้อย่างแนบเนียนยิ่ง เป็นนวนิยายรักที่แฝงไปด้วยเรื่องของประวัติศาสตร์บ้านเมืองและเกร็ดความรู้ทางด้านความเป็นอยู่ของบุคคลสมัยนั้นเป็นอย่างดี ถึงแม้เยาวชนหรือวัยรุ่นอ่านก็เหมาะสม เพราะไม่ได้มีความรักที่เป็นเรื่องราวของทาง "เพศ" แต่เป็นเรื่องราวความรักที่มีความผูกพันข้ามชาติที่ดูลึกซึ้ง

ประวัติผู้แต่ง
          ทมยันตี (ทะ-มะ-ยัน-ตี) เป็นนามปากกาของ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2480—ปัจจุบัน) เป็นนักประพันธ์นวนิยาย ผลงาน อาทิ คู่กรรม, ทวิภพ, ค่าของคน, อุบัติเหตุ, ดาวเรือง, ล่า, เวียงกุมกาม, นากพัทธ์, พิษสวาท, ดั่งดวงหฤทัย, คำมั่นสัญญา, พี่เลี้ยง, เลือดขัตติยา และอื่นๆ ซึ่งมีการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายยุคหลายสมัย
วิมลเริ่มเขียนเรื่องสั้นเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปี ขณะเรียนอยู่ชั้นม. 4 ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร ศรีสัปดาห์ และได้เขียนเรื่องสั้นต่อเนื่องอยู่ถึง 11 ปี ขณะที่เริ่มเขียนเรื่องยาวเรื่องแรกคือเรื่อง ในฝัน เมื่ออายุ 19 ปี ใช้นามปากกา โรสลาเรน ตีพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์ วิมลเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายจนอายุ 70 ปีจึงเลิกเขียน
วิมลนิยมการใช้สำนวนภาษาตามแบบหลวงวิจิตรวาทการ และนักเขียนสตรีรุ่นเก่า คือ ร. จันทพิมพะ
          นวนิยายหลายเรื่องถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ เช่น คู่กรรม ทั้งสองภาค ดั่งดวงหฤทัย ทวิภพ คำมั่นสัญญา ดาวเรือง รอยอินทร์ ร่มฉัตร เลือดขัตติยา ในฝัน เป็นต้น นวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ คู่กรรม ภาคหนึ่ง
          วิมลมีนามปากกา 5 ชื่อ ได้แก่
     1.โรสลาเรน เป็นนามปากกาแรก เทียบคำในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "กุหลาบราชินี" ใช้เขียนเรื่องรักพาฝันหรือจินตนิยาย วิมลกล่าวว่านามปากกานี้นำมาจากชื่อนางเอกซึ่งเป็นนักร้องโอเปร่าในเรื่องสั้นของหลวงวิจิตรวาทการ
     2. ลักษณวดี ใช้สำหรับเขียนนวนิยายรัก ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาของเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชาย คำว่า "ลักษณวดี" มีความหมายว่า "นางผู้มีลักษณะดี , นางผู้งามเลิศ" วิมลนำชื่อ "ลักษณวดี" ซึ่งเป็นนางในวรรณคดีและเป็นมเหสีของพระลอดิลกราชจากวรรณคดีเรื่อง "ลิลิตพระลอ"
     3.กนกเรขา ใช้สำหรับแต่งเรื่องตลกเบาสมอง คำว่า "กนกเรขา" แปลว่า "อักษรอันวิจิตร" วิมลนำชื่อ "กนกเรขา" ซึ่งเป็นนางในวรรณคดีเรื่อง "กนกนคร" ของ น.ม.ส. มาใช้เป็นนามปากกา
     4. ทมยันตี (อ่านว่า ทะ-มะ-ยัน-ตี) แปลว่า "นางผู้มีความอดทนอดกลั้น" เป็นนางในวรรณคดีเรื่อง "พระนลคำหลวง" ของ ร.6 เป็นนามปากกาที่ใช้แต่งเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตและสังคม รวมทั้งแต่งเรื่องแนวจิตวิญญาณ วิมลเริ่มใช้นามปากกานี้ในการประพันธ์นวนิยายเรื่อง "รอยมลทิน" เป็นเรื่องแรก
     5.มายาวดี ใช้เขียนเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทวะ หรือเรื่องเล่าจากตำนาน ความเชื่อต่าง ๆ และในปัจจุบันยังใช้นามปากกานี้เขียนคอลัมน์ "สนธยากาล" ลงในนิตยสารขวัญเรือน
          แม้ไม่ปรากฏว่างานเขียนของทมยันตีเคยได้รับรางวัลสำคัญ แต่เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าทมยันตีถือเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ มีผลงานได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นจำนวนมาก เหตุผลที่ไม่มีผลงานของทมยันตีได้รับรางวัลทางวรรณกรรมใด ๆ นั้น เป็นเพราะทมยันตีไม่ประสงค์ให้นำผลงานของตนไปส่งประกวด และปฏิเสธการรับรางวัลทั้งปวง ทมยันตีได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ ฉันเคยได้รับรางวัลจากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ มาแล้ว นั่นคือรางวัลสูงสุดในชีวิต จากนั้นไม่เคยอยากได้อีกเลย"

วิเคราะห์องค์ประกอบของทวิภพ
💟💟เนื้อเรื่องย่อ💟💟
          มณีจันทร์  สาวแห่ง พ.ศ. นี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูลและการศึกษา ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาแทบตลอด เพราะพ่อของเธอรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ และต้องเดินทางตามประเทศต่าง ๆ ในฐานะเอกอัครราชทูต
          เมื่อมณีจันทร์และคุณมาลิดา ผู้เป็นแม่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด มณีจันทร์ฝันซ้ำ ๆ อยู่แต่เรื่องเดียว เธอฝันเห็นเรือนทรงไทยตะคุ่ม ๆ เห็นห้องหนึ่งสลัวราง และในห้องนั้นก็มีเสียงเรียก "แม่มณี...แม่มณีจ๋า" เธอตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเรียกนั้นนุ่มนวลชวนให้ถวิลหายิ่งนัก
          มณีจันทร์ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่คุณมาลิดา จนกระทั่งวันหนึ่งเธอซื้อกระจกบานหนึ่งมาจากร้านขายของเก่า กระจกบานยาวในกรอบไม้ฉลุสลักลวดลายเก่าจนฝุ่นเขรอะ ลายบางส่วนหักวิ่น "กระจกสมัย รัชการที่ 5" เจ้าคุณวิศาลคดี ชายชราผู้ขายบอกเธอ ที่กระจกมีรอยร้าวเป็นทางจากมุมลงมา มณีจันทร์ใช้ปลายนิ้วเช็ดกระจกเฉพาะตรงหน้า แว่บแรก เธอรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นคันฉ่องกรอบนั้นมาช้านาน หัวใจเอิบอาบซาบซ่าละม้ายได้ของรักคืนมา
          กระจกบานนั้นถูกตั้งไว้ในห้องนอนของเธอทำมุมกับอ่างล้างหน้าและเหยือกโบราณที่มีอยู่เดิม สิ่งอัศจรรย์หลายอย่างเกิดขึ้นกับเธอแม้ยามหลับและยามตื่น เธอรู้สึกถึงความผูกพันแนบแน่นที่มีต่อเจ้าของเสียง "แม่มณี...แม่มณีจ๋า" ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าผู้เรียกเลย วันหนึ่งเธอก็ได้เห็น "เขา" เห็นรูปถ่ายที่บ้านกุลวรางค์ เพื่อนสนิท มณีจันทร์รู้สึกว่าใช่คนนี้แน่นอนจึงซักไซร้จนได้ความว่าท่านคือ เจ้าคุณอัครเทพวรากร หรือ หลวงเทพ เอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจำสหรัฐอเมริกา และคุณหญิงของท่านชื่อ "คุณมณี" มณีจันทร์จึงขอรูปหลวงเทพจากกุลวรางค์ รูปที่ได้มาเหมือนสายใยที่ร้อยรัดความรู้สึกของมณีจันทร์ ให้แนบแน่นกับผู้ชายในฝันมากขึ้น จนกลายเป็นเส้นที่ขีดขั้นระหว่างเธอกับไรวัต นายทหารหนุ่มแห่งกองทัพบกผู้ถึงพร้อมทั้งชาติตระกูล ทรัพย์สมบัติ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไรวัตรักมณีจันทร์มาก แต่รู้สึกว่าการกลับมาเมืองไทยคราวนี้มณีจันทร์แปลกไป เขารู้สึกว่าเธอมีคนอื่น ทำให้เขาร้อนรุ่มใจยิ่งนัก
          กระจกที่ได้มาทำให้มณีจันทร์เกิดเห็นภาพนิมิตหลายครั้งจากเงาสะท้อน แต่เธอก็บอกใครไม่ได้ เธอจึงไปคุยกับดร.ตรอง  นักฟิสิกส์เพื่อนสนิทอีกคน ดร.ตรอง ยืนยันความเป็นไปได้ของการมองเห็นภาพในอดีต ทำให้มณีจันทร์มั่นใจวาสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
         มณีจันทร์แน่ใจว่า กระจกเป็นสื่อจากเธอถึงเจ้าคุณอัครเทพวรากรในอดีต และรับภาพจากอดีตมาถึงเธอ ทุกวันเธอจดจ่ออยู่กับการหาหนทางให้ติดต่อกับภาพในอดีตนั้นได้ เพราะเธอรู้สึกว่าผู้ที่อยู่ไกลโพ้นในอดีตก็หวนหาเธออยู่เช่นกัน และด้วยกระแสจิตแห่งความผูกพันธ์ที่รุนแรง ทำให้กระจกเกิดพลานุภาพดึงมณีจันทร์หลุดเข้าไปสู่ห้วงแห่งกาลเวลาย้อนกลับไปสู่อดีต สู่ชายที่เธอเฝ้าใฝ่หามาตลอด เมื่อเธอข้ามไปยังภพอดีต เธอก็ต้องกลับมา เป็นอย่างนั้นอยู่บ่อยครั้ง แล้วหลวงเทพก็ได้ให้สร้อยคอกับเธอไว้ เพื่อใช้เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่เธอจะได้ไปในอดีต แล้วสร้อยคอนี้ยังเป็นสัญญาณว่าเธอต้องกับมายังภพปัจจุบันของเธออีกด้วย ความผูกพันและใฝ่หากันค่อย ๆ สานตัวเป็นความรักที่อ่อนหวาน โดยทั้งสองฝ่ายไม่ต้องเอ่ยปากบอกรักกัน ซึ่งขณะนั้นเจ้าคุณอัครเทพวรากร ซึ่งขณะนั้นเป็นแค่เพียง หลวงอัครเทพวรากร ไม่เคยคิดถามหาหัวนอนปลายเท้าของดรุณีแรกรุ่นวัย ที่กำเนิดผู้ผุดขึ้นกลางเรือนชานผู้นี้เลย และยิ่งกว่านั้น ยังคิดปกป้องดูแลหนทางแห่งการ ไป-มา ของเธอให้สะดวกราบรื่นโดยไม่ให้ใครรู้เห็นอีกด้วย แต่ความก็แตกจนได้ เมื่อบ่าวไพร่สังเกตในความแปลกของนายจนเล่าลืออื้ออึงว่า นายเลี้ยงผี เมื่อม้วน บ่าวสาวได้ประจันหน้ากับผู้มาเยือนในห้องนอนของหลวงเทพ และในที่สุดคุณหญิงแสร์  มารดาผู้เฉลียวฉลาดของหลวงเทพ ได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองว่ามีสาวน้อยนางหนึ่งมาเยือนบุตรชายของท่านโดยผ่านทางกระจก ความเชื่อปรัมปราทำให้คุณหญิงสรุปว่าสาวน้อยนั้นมาจาก "เมืองลับแล"ความน่ารักและอิริยาอาการและการพูดจาของมณีจันทร์ ผูกใจคุณหญิงและบ่าวไพร่ทั้งบ้านไว้ได้อีก ทุกคนรอคอยการมาเยี่ยมเยือนของเธอ และอาลัยทุกครั้งที่เธอกลับสู่ถิ่นฐานของตน การได้มาเยือนอดีตทำให้ มณีจันทร์ใฝ่ใจที่จะค้นคว้าช่วงเวลาที่เธอมาเยือนมากขึ้น และเมื่อยิ่งรู้ว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ในตอนนั้นคือ การที่ฝรั่งเศสคุกคามจะเอาดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นของไทยไปครอบครอง ปัญหานี้หลวงเทพต้องร่วมแก้ด้วย มณีจันทร์จึงยิ่งใฝ่ที่จะหาทางช่วยประเทศให้พ้นจากการล่าอาณานิคม  มณีจันทร์ใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มี ช่วยงานหลวงเทพในงานของบ้านเมืองเท่าที่เธอจะช่วยได้ และเธอก็ได้แสดงความฉลาดเฉลียวสูงสุดให้ปรากฏ ในงานเลี้ยงทูตานุทูตข้าราชการชาวต่างประเทศ หลวงเทพปักใจว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่เขาจะเลือกเป็นคู่ครองแทน แม่ประยงค์ สาวน้อยผู้งดงามอ่อนหวาน และวางตัวอยู่ในกรอบข่ายของขนบประเพณีทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายหมายไว้ให้แก่กัน ในใจของมณีจันทร์ก็แอบหวั่นไม่น้อย เพราะเจ้าหล่อนทั้งเป็นคนไม่สนใจระเบียบมากนัก เข้าขั้นม้าดีดกะโหลกก็ว่าได้ แต่ด้วยความร่าเริงและสดใสของเธอนั้นก็ทำให้หลายๆคนเอ็นดูเธอไปในคราเดียวกัน เว้นแต่คุณหญิงสรเดช มารดาของแม่ประยงค์ ที่ดูเหมือนจะไม่ชอบมณีจันทร์มากนัก เพราะดูออกว่าหลวงเทพมีใจให้กับมณีจันทร์แทนที่จะเป็นลูกสาวของเขา คุณหญิงสรเดชะยายามทุกวิถีทางเพื่อให้มณีจันทร์ดูด้อยกว่าแม่ประยงค์ ลูกสาวของเธอ แต่กระนั้นมณีจันทร์ก็มีอาจสู้ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาท งานบ้านงานเรือน หรือเรื่องที่ผู้หญิงในสมัยนั้นควรจะทำ ก็คงจะมีเรื่องเดียวที่มณีจันทร์ชนะประยงค์แบบขาดลอยก็คือ เรื่องการใช้ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ มณีจันทร์ได้ใฃ้ความสามารถตรงนี้ของเธอช่วยงานหลวงเทพ ทำให้ได้รับความดีความชอบใหญ่ ความรักระหว่างเธอกับหลวงเทพก็ค่อยๆก่อตัวมากยิ่งขึ้น แต่ยิ่งนานไป หลวงเทพกลับกลัว และไม่มั่นใจว่า สาวน้อยผู้มาเยือนทางกระจกนั้นจะอยู่กับเขาได้ตลอดไป กระจกบานนั้นไม่เคยให้ความแน่นอนในการมาและไปของเธอ ไม่เคยให้ความมั่นใจว่า เธอจะอยู่ในภพของเขาได้นานเท่าที่เขาต้องการอยากให้อยู่ เขาต้องยอมจำนนกับกระจกบานนี้หรือไม่ หากคนสองคนหลวงเทพและมณีจันทร์จะประคองรักแท้ระหว่างกันให้ดำเนินต่อไปได้ คงต้องมีใครสละอะไรเพื่อรักแท้นั้นแน่นอน

💟💟โครงเรื่อง(Plot)💟💟
          มณีจันทร์ (เมณี่) นางเอกของเรื่องเป็นบุตรีของเอกอัครราชทูตไทยที่ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มณีจันทร์ได้ซื้อกระจกบานหนึ่งมาและต่อมาได้พบว่ากระจกบานนั้น สามารถพาเธอย้อนกลับอดีตไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ และได้โผล่ไปที่เรือนของหลวงอัครเทพวรากร ข้าหลวงประจำกรมเจ้าท่า มณีจันทร์หายไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอยบ่อยครั้ง เป็นเหตุให้เพื่อนสนิทอันมีกุลวรางค์, ไรซ์ (ตรอง), ไรวัติ (หนุ่มที่มาติดพัน) ต้องเดือดร้อนตามหาตัวกัน การปรากฏตัวของมณีจันทร์สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในบ้านหลวงอัครเทพวรากรเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความฉลาดของมณีจันทร์ ทำให้คนที่ได้พบเห็นอดที่จะรักเธอไม่ได้ มณีจันทร์เดินทางข้ามภพบ่อยครั้งขึ้น เมื่อได้ทำความคุ้นเคยกับหลวงอัครเทพวรากรและคุณหญิงแสร์ มารดาของคุณหลวงแล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกรักและผูกพันกับหลวงอัครเทพวรากรและคนที่บ้านหลวงอัครเทพวรากรมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทุกคนรวมทั้งมณีจันทร์ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงเดินทางข้ามกาลเวลามาที่นี่ นอกเหนือจากที่จะมาพบกับเนื้อคู่ที่แท้จริงแล้ว ยังต้องมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ของสยามซึ่งกำลังอยู่ในช่วงคับขัน เพราะทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งอยู่ในยุคล่าอาณานิคม กำลังจะเอาสยามเป็นแดนกันชน และลงท้ายจะแบ่งแยกประเทศออกโดยเอาแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นปักปันเขต มณีจันทร์จึงต้องใช้ความรู้ทางด้านภาษาช่วยหลวงอัครเทพวรากรและเจ้าคุณวิศาลคดีแก้เกมของประเทศนักล่าเมืองขึ้นทั้งสอง ในขณะเดียวกันเธอก็เริ่มผูกพันกับอดีตภพและความรักที่มีต่อหลวงอัครเทพวรากรมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองจะต้องเร่งแก้ไข มณีจันทร์เองก็มีอีกปัญหาหนึ่งที่รอคอยให้เธอตัดสินใจเช่นกัน กระจกซึ่งเป็นประตูเชื่อมเวลาจะมีรอยร้าวเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เธอผ่านเข้าออก มันจะต้องแตกลงในวันหนึ่ง นั่นหมายถึงว่าเธอจะไม่สามารถเดินทางข้ามผ่านเวลาได้อีกต่อไป และเมื่อวันนั้นมาถึง มณีจันทร์จะตัดสินใจเช่นไร ระหว่างการอยู่ในภพอดีตกับหลวงอัครเทพวรากรผู้ที่รักเธอสุดหัวใจ หรือการกลับไปยังภาพที่เธอจากมา กลับไปเป็นสาวทันสมัยแห่งโลกปัจจุบันที่มีแม่ผู้เป็นที่รักรอคอยอยู่
💟💟แนวคิด(Theme)💟💟
          ด้านแนวคิด พบว่านวนิยายไทยที่นําเสนอการเดินทางข้ามเวลามีทั้งแนวคิดหลักและแนวคิดรอง แนวคิดหลักมี 4 กลุ่ม ได้แก่ ❤แนวคิดเกี่ยวกับเวลาและความรัก ก็คือ คนสองคนที่อยู่กันคนละภพ มาเจอกันได้ก็เพราะว่าความรัก
❤แนวคิดเกี่ยวกับการสะท้อนสภาพปัญหาและชี้นําแนวทางการแก้ปัญหาแก่สังคมในปัจจุบัน
❤แนวคิดเกี่ยวกับการเทิดทูนวีรกรรมบรรพบุรุษ ปลูกฝังจิตสำนึกความรักชาติ
❤แนวคิดเกี่ยวกับคุณค่าความสามัคคี
แนวคิดรองมี 2 กลุ่ม ได้แก่
💙แนวคิดที่เชื่อว่าอดีตแก้ไขไม่ได้
💙แนวคิดที่เชื่ว่าอดีตแก้ไขได้ โดยผู้เขียนนวนิยายส่วนใหญ่นำเสนอแนวคิดที่ว่าอดีตแก้ไขไม่ได้ โดยอ้างหลักพุทธธรรมคือกฎไตรลักษณ์ และ กฎแห่งกรรม
💟💟ฉากและบรรยากาศ(Setting and Atmosphere)💟💟
อย่างเช่นในตอนที่ 3 ของบทประพันธ์ ที่แสดงให้เห็นถึงความครุ่นคิดและหนักใจของมณีจันทร์ต่อเหตุการณ์ที่เธอพบเจอ รวมทั้งความสับสนกัยเหตุการณ์เหล่านั้น
          มณีจันทร์ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีบางสิ่งอยากให้เธอย้อนอดีตกลับไปช่วย แต่กลับมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าขัดขวางไว้ เธอลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับไทยเสียดินแดน ปี ร.ศ. 112 ในคอมพิวเตอร์ อยู่ๆเว็บไซต์ต่างๆก็พร้อมใจกันล่ม มณีจันทร์ถอนใจเฮือก เดินมาที่หน้าต่างห้องนอนตัวเอง เงยหน้ามองท้องฟ้า
สิ้นเสียงมณีจันทร์ไฟฟ้าดับพรึ่บแทนคำตอบ เท่านั้นยังไม่พอคอมพิวเตอร์ของเธอช็อตควันโขมง มณีจันทร์แน่ใจ มีอำนาจบางอย่างไม่ต้องการให้เธอได้ข้อมูลพวกนั้น  

และอีกหนึ่งตอนที่ชี้ให้เห็นว่าหลวงเทพก็เริ่มสับสนในความรู้สึกของตนเอง และเริ่มรู้สึกรักแม่มณีมากขึ้นเรื่อยๆ

          คุณหญิงแสร์เห็นลูกชายได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่บนเตียง เลยเข้ามาอยู่คุยเป็นเพื่อน

“เป็นอย่างไรบ้าง เบื่อไหม หลวงเวชท่านไม่อยากให้ลุก เชื่อท่านหน่อย อดทนหน่อยนะพ่อเทพ เอ... นี่ผ้าแพรนี่" คุณหญิงแสร์หยิบผ้าแพรผืนใหม่ที่หลวงอัครเทพห่มอยู่ขึ้นมามองสงสัย แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร
          หลวงอัครเทพกำลังกลุ้มใจเรื่องมณีจันทร์ชิงถามขึ้นก่อนว่า
“ผู้หญิงที่จู่ๆโกรธมักจะคิดอะไรขอรับ”
“ผู้หญิงคนไหน”

“ใครไปทำอะไรให้ทำไมไม่พูดมาตรงๆทำเป็นไม่พูดไม่จาน่าอึดอัด”
           คุณหญิงแสร์แนะ ถ้าผู้หญิงไม่พูดด้วย เขาก็ควรถามเธอไปตรงๆ หลวงอัครเทพคิดคล้อยตามคำแนะนำของแม่ รอจนปลอดคน แอบย่องออกจากห้อง ตามหามณีจันทร์...
          พอท่านหันกลับมาอีกที มณีจันทร์ลงไปคลานหาเอกสารใต้โต๊ะทำงาน เจ้าคุณวิศาลคดีนั่งขำกับท่าทางซุกซนเหมือนเด็กๆของเธอ ม้วนผ่านมาเห็นมณีจันทร์คลานก้นโด่ง ทั้งที่เจ้าคุณวิศาลคดีนั่งอยู่ด้วย รีบเข้ามาเตือนมณีจันทร์ทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าท่านเจ้าคุณ ดูไม่งาม มณีจันทร์นึกขึ้นได้ คว้า เอกสารที่เพิ่งหาเจอ รีบลุก 
แต่ด้วยความซุ่มซ่ามหัวชนโต๊ะโครม ถึงกับร้องเสียงหลง 


“โห...หัวเราะใหญ่เลย เห็นเราเป็นตัวตลกไปแล้ว อิฉัน มณีจันทร์น่ะนางเอกนะเจ้าคะ...นี่เจ้าค่ะ” มณีจันทร์ยื่นเอกสารให้ เจ้าคุณวิศาลคดียกมือเป็นทำนองจะไม่หัวเราะอีก แล้วรับเอกสารมาอ่าน
“อืม...เอ...ใต้รูปนี้เขาเขียนว่าอะไร”
“เดี๋ยวนะเจ้าคะ เดี๋ยวแปลให้เลยเจ้าค่ะ ขอหาปากกาก่อน” มณีจันทร์ทำท่าจะมุดใต้โต๊ะอีกทั้งที่ตัวเองเอาปากกาเหน็บไว้ข้างหู
เจ้าคุณวิศาลคดีบอกว่าไม่ต้องมุดใต้โต๊ะ เดี๋ยวท่านจะช่วยหาให้ แล้วขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆมณีจันทร์เอื้อมมือ ไปหยิบปากกาที่เหน็บหูเธออยู่ พร้อมกับส่งยิ้มให้
“นั่งเฉยๆ...นี่ไงละ อยู่ตรงนี้ แม่นางเอกขี้ลืม” มณีจันทร์ยิ้มเขิน โดยไม่รู้ว่าหลวงอัครเทพยืนหน้าเศร้ามองเห็นเหตุการณ์ระหว่างทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่งแล้ว

“แม่มณี...แม่มณีจ๋า รู้หรือไม่ ถูกเขาตีนอนป่วยหลายวัน ยังไม่เจ็บเท่าตอนนี้เลย”...
ทั้งสองฉากนี้ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นถึงความสับสนครุ่นคิด และความรู้สึกที่หลากหลายอารมณ์ของตัวละคร
💟บทสนทนา(Dialogue)💟💟
ตัวอย่าง 
“แล้วจะเรียนท่านว่ายังไงพ่อเทพ ผู้หญิงยิงเรือจะรู้ข้อราชการได้อย่างไร”คุณหญิงแสร์สีหน้าเป็นกังวล 
“คิดจะกราบเรียนท่านว่าเป็นน้อง รู้ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ท่านจะเข้าใจเอง”
มณีจันทร์นั่งเล่นอยู่กับกองพลูกองหมากอยู่บนเรือน มองหลวงอัครเทพที่นั่งคุยกับคุณหญิงแสร์อยู่ที่ศาลาแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ คุณหญิงสรเดชเอาซองหมากพลูท่ีเจียนอย่างสวยงามของประยงค์มาอวดมณีจันทร์ 
“อุ๊ยตาย...นี่หรือคะที่เขาเรียกเจียนหมากพลู น่ารักจริง”มณีจันทร์มองอย่างชื่นชม
"หมากพลูน่ะเป็นของสำคัญนะมีเมียเจียนหมากจีบ พลูได้งาม ชีวิตผัวก็มีความสุขมากโขแล้ว...เอ้า...นังอิ่ม...เอาไปให้คุณหลวง”
“ฮิๆกินหมากทุกคำคิดถึงน้อง”
“คุณหลวงชื่นชมใหญ่ เอาใส่ปากเคี้ยวทันที ดูสิ...แม่ประยงค์ของแม่หน้าแดงก่ำ เขาเรียบร้อย เขาไม่ชอบให้แม่ทำอะไรแบบนี้ดอก”
ตกดึกคืนนั้น มณีจันทร์เก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดจนนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมานั่งบ่นคนเดียว
“ของเขาทั้งเจียนหมากจีบพลูให้กินจนวันตาย เราทำได้แค่เป่าใบพลูฝากสายลม...เฮอะ งี่เง่าชะมัด...คุณหลวงคะ...คุณประยงค์เหมาะกับคุณหลวงจริงๆด้วยค่ะ”มณีจันทร์ถอนใจเฮือก...
เช้าวันต่อมา ทันทีที่หลวงเจนพาณิชย์ก้าวเข้ามาในห้าง มร.จอห์นชี้หน้าด่าลั่นที่เขาไม่เอาจดหมายสำคัญของตนไปส่งให้ มร.คล้าก
"อ๋อ...จดหมาย...ไม่ขอรับไม่หาย กระผมลืมเอาไว้ เดี๋ยวกระผมจะรีบเอาไปให้ มร.คล้ากวันนี้เลยขอรับ” 
“ทำงานแย่มากเช้าชามเย็นชามเหมือนกันหมด พวกเรากระตือรือร้นกว่านี้มาก เราถึงได้ดิบได้ดี แล้วดูพวกคุณสิ ฮึ...แบบนี้เมื่อไหร่ประเทศคุณจะเจริญ...หา”
“จดหมายที่ต้องให้กรมท่าของกระผมตรวจก่อนใช่ไหมขอรับ”
“กระผมจะตอบเพียงครั้งเดียว กระผมไม่มีจดหมายที่ว่า เชิญออกไปได้แล้ว” 
“แค่มองหน้าเอ็งก็รู้แล้ว จดหมายอยู่กับเอ็งแน่ๆไอ้เทพ”
“แสดงว่าจดหมายนั่นสำคัญมาก หลวงเจนจึงมาขอคืน เราต้องรักษาจดหมายนั้นไว้ให้ดี...เอ...เราเอาไปทำงานตรงไหนนะ”
มณีจันทร์กำลังจะลงไปที่ศาลาเห็นหลวงเจน-พาณิชย์บ่ายหน้าไปที่นั่นเช่นกัน เธอยอมให้เขาเอาจดหมายไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นหลวงเทพจะถูกกล่าวหาว่าเป็ยขโมยได้ 
"คุณท่านออกไปไม่ได้เจ้าค่ะ” 
“ฉันรู้ ผู้หญิงดีๆเขาไม่ทำกันหรอก แต่ผู้หญิงบ้า...เขายกเว้น”
ประยงค์ที่เดินเข้ามากับยาวบ่าวหญิงรับใช้ของเธอ หลวงเจนพาณิชย์อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“แม่ประยงค์ใช่ไหม...กระผมหลวงเจนพาณิชย์ขอรับ กระผมเห็นแม่ประยงค์ตามเสด็จบ่อยๆ ไม่เคยได้มีโอกาสคุยด้วยสักที วันนี้โชคดีของกระผมเหลือเกิน”
“เรียนภาษาอังกฤษใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคงรู้วิธีทักทายของพวกฝรั่ง shake hand” 
💟💟ตัวละคร(Character)💟💟
          🌈 เจ้าคุณอัครเทพวรากร หรือ หลวงเทพ เอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจำสหรัฐอเมริกา มีความสุภาพนุ่มนวล รักบ้านเกิด เป็นสุภาพบุรุษ มีความมั่นคงในรัก
          🌈 มณีจันทร์  สาวแห่ง พ.ศ. นี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูลและการศึกษา มีความมั่นใจในตัวเองสูง ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาแทบตลอด เพราะบิดารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ และต้องเดินทางตามประเทศต่าง ๆ ในฐานะเอกอัครราชทูต มีความสามรถในการใช้ภาษาฝรั่งเศส
          🌈 ไรวัต นายทหารหนุ่มแห่งกองทัพบกผู้ถึงพร้อมทั้งชาติตระกูล ทรัพย์สมบัติ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไรวัตรักมณีจันทร์มาก แต่รู้สึกว่าการกลับมาเมืองไทยคราวนี้มณีจันทร์แปลกไป เขารู้สึกว่าเธอมีคนอื่น ทำให้เขาร้อนรุ่มใจยิ่งนัก
          🌈 ม้วน บ่าวสาวผู้รับใช้แม่มณีในอดีต มีความจงรักภักดีต่อเจ้านายมาก รักแม่มณีมาก
          🌈 คุณหญิงแสร์  มารดาผู้เฉลียวฉลาดของหลวงเทพ มีความเชื่อปรัมปรา เอ็นดูในความน่ารักของแม่มณีมาก
          🌈 ประยงค์ สาวน้อยผู้งดงามอ่อนหวาน และวางตัวอยู่ในกรอบข่ายของขนบประเพณีทุกกระเบียดนิ้ว เป็นคู่หมายของหลวงเทพ
           🌈 มาลิดา ผู้เป็นมารดามณีจันทร์
           🌈 กุลวรางค์ เพื่อนสนิท มณีจันทร์ เป็นคนมีความรู้ มีความสดใสร่าเริง ไม่ค่อยมีความเป็นกุลสตรีมากนัก
           🌈 ดร.ตรอง นักฟิสิกส์ เก่ง มีความรู้ และเป็นคนมีเหตุมีผล
           🌈 คุณหญิงสรเดช มารดาของประยงค์ เป็นเพื่อนกับคุณหญิงแสร์ มารดาของหลวงเทพ ไม่ขอบพอกับแม่มณีมากนัก เพราะต้องการให้ลูกได้ออกเรือนกับหลวงเทพ
           🌈 ท่านเจ้าคุณวิศาลคดี ชายผู้เป็นคนกุมความลับสู่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด เขาจะสามารถช่วยประเทศไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานของฝรั่งเศสและอังกฤษได้
            🌈 หลวงเจนพาณิช" ข้าราชการที่มีหัวใจฝักใฝ่ชาติตะวันตก ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเองโดยไม่คิดถึงชาติบ้านเมือง หาเรื่องรังแกคนอื่นแม้กระทั่งผู้หญิง
💟💟กลวิธีการเล่าเรื่อง(Point of View)💟💟
          เป็นวรรณกรรมประเภทร้อยแก้ว มีเพียงบางตอนเท่านั้นที่เป็นร้อยกรอง นวนิยายอธิบายถึงภาพสังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว รวดเร็ว สว่างไสว เป็นเมืองที่หลงลืมอดีต และมิติของเวลาเป็นมิติที่เดินทางเป็นเส้นตรง ในขณะที่การปรากฏขึ้นของภาพร้านขายของโบราณ มีความมืดทึบ อึมครึม เก่าเก็บ โบร่ำโบราณ เป็นเรื่องของการที่อดีตสามารถย้อนหวนคืนมาได้ในยุคของเวลาสมัยใหม่และอดีตเป็นอดีตที่ถูกกดทับเอาไว้ ทมยันตีบรรยายภาพของมณีจันทร์ว่าเป็นผู้หญิงสมัยใหม่แต่งตัวทันสมัย แต่ภาพในกระจกที่มณีจันทร์เห็นในร้านขายของโบราณกลับกลายเป็นภาพของผู้หญิงโบราณอ่อนหวานงามละมุน ฉากที่มณีจันทร์เห็นผู้หญิงในกระจกสื่อให้เห็นถึงการสูญหายไปและความบกพร่องของอัตลักษณ์ เงาที่ปรากฏในกระจกคือความปรารถนาของเธอ แต่ภาพของความปรารถนานี้คือความปรารถนาที่ต้องห้ามเพราะทมยันตีบรรยายไว้ว่ากระจกมีความร้าวลึก เป็นลักษณะที่อันตราย คนไทยถือ ไม่นิยมนำเข้าบ้าน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มณีจันทร์โหยหาปรารถนาคือสิ่งที่ต้องห้ามไปพร้อมๆ กัน ประเด็นนี้จริงๆ อธิบายถึงสังคมไทยสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ว่าเป็นสังคมที่ไม่มีพื้นที่ให้กับอดีตและความเป็นไทย ถ้ามณีจันทร์ต้องการภาพตัวเองแบบในกระจกที่เห็นนั้น มันหมายถึงความสูญสลายของตัวตน  เพราะฉะนั้นการนิยามตัวเองกับภาพเงา จึงนำไปสู่การสลายของอัตลักษณ์ที่ตัวละครสร้างขึ้นอย่างเป็นเอกภาพ
วินิจฉัยสาร
          ทวิภพฉบับนี้มีชื่อภาษาอังกฤษห้อยท้ายว่า Siam Renesiance อันหมายถึงยุคแผ่นดินรัตนโกสินทร์ที่กำลังจะก้าวสู่ความเป็นสยามใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็จริงนะครับ เพราะหนังได้สื่อสารให้เราเห็นการวางตัวของสยามเมื่อปี พ.ศ. 2398 ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรเพื่อให้พ้นปากเหยี่ยวปากกาจากมหาอำนาจ อย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งที่สุดแล้วทั้งสองประเทศเลือกที่จะใช้สยามเป็นรัฐกันชน (Buffer State) มากกว่าจะมาแย่งกันเอง ประกอบกับนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลสยามสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ เลือกที่ปรับตัวมากกว่าดึงดันอย่างแตกหัก เนื้อหานั้นสื่อให้เราได้เห็นการครอบงำของฝรั่งนั้นมิได้ทำผ่านกลอุบายเรือปืนเพียงอย่างเดียวครับ หากแต่การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาก็จัดเป็นหนทางหนึ่งที่ชนตะวันตกอยากให้ชาวตะวันออกได้คิดและเชื่อเหมือนที่พวกเขาเชื่อ ตัวอย่างที่พบในหนังคือ การเข้ามาของมิชชันนารีสอนศาสนาอย่างหมอบรัดเลย์ (Dan B. Bradley) นวนิยายพาเราย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2398 โดยมี มณีจันทร์หรือ แมนี่ เป็นนางเอกเดินเรื่อง กลวิธีการเล่าเรื่องสลับไปสลับมาผ่านเพลงบรรเลงที่ฟังแล้วทำให้คนดูฉงนตามไปด้วยว่าว่าตกลงแล้ว"เรากำลังฝันไปหรืออยู่ในโลกของความจริงกันแน่" จะว่าไปแล้วการมองเห็นภาพอดีตผ่านสื่อภาพยนตร์นั้นมันทำให้เรามองเห็นความรู้สึกของคนโบราณว่า พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในช่วงเวลาคับขันเช่นนั้น ยังสื่อสารให้เราเห็นว่า หากเราเลือกที่จะสู้เราก็คงรบแพ้เหมือนอย่างที่พม่าและญวนแพ้ ไม่แน่ว่าทุกวันนี้พวกเราอาจจะต้องใช้ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสเป็นภาษาประจำชาติก็ได้ บรรพบุรุษของเราเลือกแก้ปัญหาได้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ และอย่างน้อยเขาก็รักษาให้แผ่นดินนี้ไม่ต้องตกเป็นของใคร 
บทสรุป
          ในตอนท้ายของเรื่อง มณีจันทร์ก็ได้ตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับเพื่อนของเธอและมารดาของเธอ พร้อมทั้งขอตัวเลือกว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรดีกับเหตุการณ์นี้ แล้วเธอก็ลือกที่จะอยู่กับหลวงเทพ และกระจกที่บ้านของเธอนั้นได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และเธอก็ครองรักกับหลวงเทพต่อในชาติอดีต 
สิ่งที่ได้รับ และสิ่งที่ประทับใจ
จากการอ่านนิยายเรื่องนี้ตัวดิฉันได้รับคือ
🌻ได้เห็นถึงความรักชาติบ้านเมืองของบรรพบุรุษคนไทยเรา ซึ่งเราคนยุคปัจจุบันควรอย่างยิ่งที่จะนำมาปฏิบัติตาม ในการรักชาตินี้ดูได้จากการที่หลวงเทพ ยอมที่จะมีปัญหากะหลวงเจน เพราะหลวงเจนนั้นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ต้องการอำนาจบารมี ยอมที่จะขายชาติบ้านเมือง แต่ก็มีคนแบบหลวงเทพที่ยังคิดได้และรักบ้านเกิดมาก ทำให้คนแบบนี้ควรมีเยอะๆในสังคมไทยเราในปัจจุบัน
🌻เห็นถึงวิถีชีวิตของคนยุคเก่าในสมัยร.5 ที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย ไม่เร่งรีบเหมือนยุคปัจจุบันนี้ 
🌻เห็นถึงความรักที่แม่มอบให้ต่อลูก ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน คนเป็นแม่ก็ยังคงมีความรักความปรารถนาดีต่อลูกทั้งสิ้น ทั้งเรื่องงานและเรื่องความรัก 
จากการอ่านนิยายเรื่องนี้สิ่งที่ดิฉันประทับใจมากๆคือ
การที่พระเอกและนางเอกอยู่คนละภพคนละชาติกันแต่ก็มาพบกันได้ด้วยกระจกเพียงบานเดียว สิ่งที่ผู้เขียนเขียนลงไปมันสื่ออารมณ์และความรู้สึกได้ชัดเจน ทั้งพระเอกและนางเอกต่างรอคอยกันมาเสมอ ไม่มีใครไปรักหรือชอบใคร มันลึกซึ้งและกินใจดิฉันมากว่า คนๆนึงจะรออีกคนได้นานขนาดนั้นเลยหรือ? แต่จากการอ่านนิยายเรื่องนี้จึงพบว่า ไม่ว่าเวลาจะนานกี่ปี กี่ภพ กี่ชาติ คนเราถ้าคู่กันยังไงก็ต้องคู่กันอย่างนั้น ซึ่งในชีวิตจริงคงไม่ได้มีโอกาสแบบนั้นแต่นิยายเรื่องนี้ก็ทำให้ได้อินกับความรักของหนุ่มสาวในยุคอดีตได้เป็นอย่างดี ❤

จัดทำโดย : นางสาวอมราวดี ไทยสุชาติ 

รหัสนิสิต 611031109
คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกเคมี

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

แนวทางการพัฒนาตนเองสู่ครูมืออาชีพ

แนวทางการพัฒนาตนเองสู่ครูมืออาชีพ

ผู้เขียน : นายนรรัชต์ ฝันเชียร
ประเภท : สารคดี
เรื่องย่อ : ครูคือบุคคลที่มีความสามารถ มีทักษะการอบรมและประพฤติดี เอาใจใส่ลูกศิษย์ ครูมีหลายระดับ แม้ความรู้จะเท่ากันแต่อาจต่าง กันที่ตรงชื่อมหาวิทยาลัยที่จบ แต่เมื่อสอบบรรจุได้ครูทุกคนก็เริ่มต้นแทบจะไม่ต่างกัน ตัวที่วัดว่าใครเป็นครูมืออาชีพมากกว่าอาจดูได้จากปัจจัยที่ส่งเสริมความเป็นครู 4 ประการ  ได้แก่
💟1.อุดมการณ์ของครู💟
ครูมืออาชีพจะเป็นอุดมการณ์มากกว่าอามิสสินจ้าง จะเมตตาศิษย์ เสียสละและทำงานอย่างเต็มศักยภาพ
💟2.คุณลักษณะของการเป็นครูที่ดี💟
🌈รอบรู้ทุกเรื่อง เข้าใจหลักสูตรและเนื้อหาที่สอน
🌈วิเคราะห์ปัญหาต่างๆได้
🌈สนับสนุนส่งเสริมการสอน
🌈มีคุณธรรม จริยธรรม ตามหลักของจรรยาบรรณวิชาชีพครู
🌈พัฒนาคนเองอยู่เสมอ
💟3ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง💟
ในปัจจุบันอาชีพครูจะถูกยกมากล่าวในเรื่องหนี้สิน แม้รายได้ของครูจะไม่สูงมากนัก แต่ถ้ามีความพอเพียง ก็จะไม่มีหนี้สิน ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ก็จะทำให้มีความสุข
💟4คุณธรรมในการปฏิบัติงาน💟
ประกอบด้วย ความเมตตา ความยุติธรรม ความรับผิดชอบ การมีวินัย ขยัน อดทน ประหยัด รักและศรัทธาในวิชาชีพครู มีความเป็นประชาธิปไตย
สำหรับแนวคิดในการฝึกฝนเพื่อก้าวสู่การเป็นครูมืออาชีพนั้น จากบทความเรื่อง คมคิด12ประการ สู่ความเป็นครู สควค.มืออาชีพ สามารถคลิกไปดูได้จากในเว็บอ้างอิง เนื่องจสกผู้เขียนได้เขียนสรุปบทความนี้ไว้แล้ว
จากดังกล่าวมาข้างต้นการฝึกฝนตนเองเพื่อก้าวสู่ครูมืออาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย ครูผู้สอนจะต้องฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด เพื่อประโยชน์ทั้งของผู้สอนและผู้เรียนด้วย
สำหรับความคิดเห็นของผู้เขียนบทความนี้นั้น : ดิฉันคิดว่าผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าในเรื่องแนวทางการฝึกฝนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผู้เขียนเองก็รวบรวมเนื้อหา และปลุกจิตความเป็นครูรวมทั้งให้กำลังใจกับทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ 
ข้อคิดที่นำมาปรับใช้ได้จากบทความที่อ่านคือ
1.การจะเป็นครูต้องมีอุดมการณ์ เราต้องมอุดมการณ์ เมื่อเราจบไปเป็นครู เราต้องมีความเมตตาต่อศิษย์ ทำงานของตัวเองให้สุดความสามารถ
2.ต้องเป็นครูที่ดี ต้องรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาที่เราจะสอน สอนนักเรียนให้รู้ได้มากที่สุด ไม่หวงแหนวิชา ต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ 
3.ใช้ชีวิตบนหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตบนหลักความพอดี 
4.มีคุณธรรม มีความเมตตาทั้งต่อศิษย์และบุคคลอื่น
ข้อคิดที่ได้จากบทคงามนี้ดิฉันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวันได้ทุกข้อ รวมทั้งใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ดิฉันเป็นครูได้อีกด้วย 

จัดทำโดย นางสาวอมราวดี ไทยสุชาติ 
รหัสนิสิต 611031109 คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกเคมี

อ้างอิง:https://www.trueplookpanya.com/education/content/68689/-teaartedu-teaart-teaarttea-
x

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

นอนน้อย ทำงานหนัก วิธีดูแลสุขภาพง่ายๆ 😊


   มนุษย์เราทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างรายได้ให้พอใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและครอบครัว หลายๆคนทำงานหนักแล้วยังพักผ่อนไม่เพียงพออีก จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่สามารถรักษาได้ทันท่วงที วิธีการที่จะทำให้สุขภาพดีตลอดระยะเวลาการทำงาน ยกตัวอย่างมา คือ
 🌈 คาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม

          ไม่เกิน 1-2 แก้ว/วัน ช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่า บำรุงสมอง ลดความตึงเครียด ทำให้ตื่นตัว
    ❄ แต่ถ้าหากกลัวดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับ แนะนำให้ลองดื่มชาร้อนๆ ก็จะทำให้คุณผ่อนคลายได้เช่นกัน

   🌈 หาเวลาเข้าสปา อบซาวน่า

          วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย ทำให้ผ่อนคลาย บำรุงสมอง อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตได้ และยังฟื้นฟูผิวพรรณที่เหี่ยวย่นจากการทำงานได้อีกด้วย

   🌈 ยืดเส้นสายระหว่างวัน

          วิธีนี้สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปสปาหรืออบซาวน่า วิธีนี้อาจทำได้โดยการเดินขึ้น-ลงบันไดระหว่างวัน กวาดห้องทำงาน ออกไปสูดอากาศข้างนอก เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้

   🌈 จิบน้ำบ่อยๆ ระหว่างวัน

          ควรดื่มวันละ 6-8แก้ว/วัน เพื่อเป็นการฟื้นฟูระบบต่างๆในร่างกาย ทำให้ร่างกายชุ่มชื้น บำรุงสมองอีกทั้งยังขับของเสียออกจากร่างกายได้ด้วย

อย่ารักงานมากกว่าสุขภาพของตัวเอง หันมาดูแลสุขภาพกันเยอะๆนะคะ 😄 


 สรุปโดย นางสาวอมราวดี ไทยสุชาติ รหัสนิสิต 611031109 คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกเคมี

อ้างอิง : https://www.omgpills.com/how-to-work-hard-and-stay-healthy/

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

แนะนำตัว


นางสาวอมราวดี ไทยสุชาติ(Amarawadee Thaisuchat) 
ชื่อเล่น ดา (Da)
รหัสนิสิต 611031109
คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกเคมี(Faculty of Education, Chemistry)
FB:Amarawadee Thaisuchat
IG:D_amrwd21
ID Line:amrwd1999
Gmail:saiyada2105@gmail.com





อ้างอิง www.facebook.com//Amarawadee Thaisuchat 


การอ่านนวนิยายและเรื่องสั้น

นวนิยายเรื่องทวิภพ ชื่อเรื่อง : ทวิภพ ผู้เขียน : ทมยันตี ❄ บทนำ ❄           ทวิภพ เทวิภพ เป็นบทประพันธ์แนวรักโรแมนติกกึ่งประวัติศาสต...